บิ๊กโจ๊ก

ที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดปิดปากเงียบ ผลชี้ขาดคดี “บิ๊กโจ๊ก” รอลุ้นคำพิพากษาอย่างเป็นทางการ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 – ข่าวที่คนไทยหลายคนจับตามองอย่างใกล้ชิดได้แก่ การประชุมใหญ่ของตุลาการศาลปกครองสูงสุด เพื่อพิจารณาคดีสำคัญที่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือที่รู้จักในชื่อ “บิ๊กโจ๊ก” อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้ยื่นฟ้องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.), คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) และนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวหาว่าถูกให้ออกจากราชการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ประเด็นคดีและกระแสในสังคม

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ฟ้องร้องว่าเขาถูกสั่งให้ออกจากราชการเมื่อเดือนเมษายน 2567 โดยคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 178/2567 อ้างว่ามีความเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินและพฤติการณ์เชื่อมโยงกับเว็บพนันออนไลน์ชื่อ BNKMASTER ซึ่งทำให้เกิดการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรง และต่อมาเขาถูกศาลอาญาออกหมายจับในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน
อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อขอความยุติธรรม โดยชี้ว่าคำสั่งให้ออกจากราชการนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงขอให้ศาลพิจารณาการคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี

ที่ประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด: ปิดปากเงียบผลการตัดสิน

ในวันนี้ นายประสิทธิ์ศักดิ์ มีลาภ ประธานศาลปกครองสูงสุด ได้เป็นประธานการประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุด โดยมีการนำคดีหมายเลขดำที่ ฟ.117/2567 เข้าสู่การพิจารณา ตุลาการที่เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลการประชุม โดยให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องความลับและต้องรอให้องค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดเจ้าของสำนวนเป็นผู้เขียนคำพิพากษาและประกาศอย่างเป็นทางการต่อคู่กรณี
จากรายงานของสื่อมวลชนพบว่ามีการแบ่งฝ่ายออกเป็นสองกระแส บางกระแสระบุว่าศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กลับเข้ารับราชการ ในขณะที่อีกฝ่ายรายงานว่ามีการยกคำร้องของเขา ทำให้เกิดความสับสนในหมู่ประชาชนและสื่อสังคมออนไลน์

กระบวนการพิจารณาในที่ประชุมใหญ่ตุลาการ

ขั้นตอนการพิจารณาในวันนี้ องค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดเจ้าของสำนวนได้สรุปพยานหลักฐานและประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อที่ประชุมใหญ่ จากนั้นได้เปิดให้ตุลาการแต่ละคนได้อภิปรายแสดงความคิดเห็น ก่อนจะมีการลงมติ โดยองค์คณะเล็กซึ่งมีมติ 5 ต่อ 0 ก่อนหน้านี้ให้คำสั่งให้ออกจากราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ต้องรอลุ้นคำตัดสินจากที่ประชุมใหญ่ที่มีตุลาการร่วม 57 คนว่าจะมีคำพิพากษาเป็นอย่างไร
หากที่ประชุมใหญ่มีมติสอดคล้องกับองค์คณะเล็กก็อาจหมายความว่าคำสั่งให้ออกจากราชการของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะถูกยกเลิก และเขาอาจได้กลับเข้ารับตำแหน่งเดิม อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการกำหนดวันที่แน่ชัดในการนัดอ่านคำพิพากษา

ผลกระทบและความสำคัญของคดีนี้

คดีนี้นับเป็นคดีสำคัญที่มีผลกระทบต่อระบบการบริหารงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงการตรวจสอบและพิทักษ์คุณธรรมในองค์กรใหญ่ระดับประเทศ ทั้งนี้ยังเป็นบททดสอบการทำงานของศาลปกครองสูงสุดในการรักษาความยุติธรรมในสังคม ท่ามกลางการจับตามองของประชาชนและสื่อมวลชน
ไม่ว่าผลการพิจารณาจะเป็นอย่างไร คดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานสำคัญในการตรวจสอบอำนาจและคำสั่งของหน่วยงานรัฐในอนาคต ซึ่งจะส่งผลต่อการบริหารงานและความน่าเชื่อถือของหน่วยงานตำรวจ รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง
บทความนี้ไม่เพียงแต่สรุปประเด็นสำคัญของคดี แต่ยังเน้นถึงความสำคัญและผลกระทบของคำตัดสินที่จะมีต่อวงการตำรวจและระบบยุติธรรมไทย คอยติดตามการประกาศคำพิพากษาอย่างเป็นทางการจากศาลปกครองสูงสุดเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับอนาคตของ “บิ๊กโจ๊ก” ต่อไป