รู้จัก 4 สนมเอกในสมัยอยุธยา: ‘ท้าวศรีสุดาจันทร์’ เป็นตำแหน่ง ไม่ใช่ชื่อคน
หากกล่าวถึงสตรีผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนักอยุธยา ชื่อของ “ท้าวศรีสุดาจันทร์” ย่อมถูกจดจำและถกเถียงถึงมากที่สุด โดยเฉพาะในมุมที่เกี่ยวข้องกับการกบฏและการลอบปลงพระชนม์ ทว่าชื่อ “ท้าวศรีสุดาจันทร์” แท้จริงแล้วไม่ได้หมายถึงตัวบุคคล แต่เป็นตำแหน่งพระสนมเอกในสมัยอยุธยา ซึ่งตำแหน่งนี้อยู่ในหมู่สนมเอกทั้งสี่ของกษัตริย์ ที่มีบทบาทไม่เพียงแต่ในชีวิตส่วนพระองค์แต่ยังในทางการเมืองด้วย
ตามพระไอยการนาพลเรือนในกฎหมายตราสามดวงระบุว่ามีตำแหน่งพระสนมเอกซึ่งถือศักดินา 1,000 ประกอบด้วย ท้าวศรีสุดาจันทร์ (เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย), ท้าวอินทรสุเรนทร์, ท้าวอินทรเทวี, และ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ทั้งสี่พระสนมถือเป็นผู้แทนความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างอยุธยาและรัฐเมืองรอบข้างที่ส่งสตรีเข้ามาเป็นเครื่องราชบรรณาการเพื่อแสดงความจงรักภักดี
ตำแหน่ง “สนมเอก 4 ทิศ” สัญลักษณ์แห่งพระราชอำนาจ
ในอดีต ผู้ครองนครใกล้เคียงอยุธยา เช่น ละโว้ สุพรรณภูมิ นครศรีธรรมราช และสุโขทัย ต่างมีความสำคัญในฐานะพันธมิตร ซึ่งส่งเจ้านายหญิงเข้าสู่ราชสำนักอยุธยา สตรีจากเมืองเหล่านี้ถูกกำหนดให้มีสถานะเป็น “พระสนมเอก” ทำให้พวกเธอเป็นเหมือน “สะพาน” เชื่อมสัมพันธไมตรีอันสำคัญยิ่ง และที่สำคัญคือ การมีโอรสที่อาจมีสิทธิ์ครองราชย์เพิ่มบทบาทและอิทธิพลของพระสนมองค์นั้นในราชสำนักไปด้วย
มีความเชื่อว่าสนมเอกแต่ละตำแหน่งเป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจจากภูมิภาคต่างๆ ดังนี้:
- ท้าวศรีสุดาจันทร์ เป็นตัวแทนจากอาณาจักรละโว้ (หรืออโยธยา-ลพบุรี) ทางทิศตะวันออก
- ท้าวอินทรสุเรนทร์ มาจากราชวงศ์สุพรรณภูมิทางทิศตะวันตก
- ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ มาจากราชวงศ์พระร่วงสุโขทัยทางทิศเหนือ
- ท้าวอินทรเทวี มาจากอาณาจักรศรีธรรมราชทางทิศใต้
สนมเอกเหล่านี้จึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของพระราชอำนาจที่ครอบคลุมดินแดนทั้งสี่ทิศของกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้ การได้ให้กำเนิดพระราชโอรสหรือพระธิดายังทำให้พระสนมเอกองค์นั้นมีโอกาสที่จะได้รับการยกย่องเป็น “แม่อยู่หัว” ซึ่งจะมีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
บทบาทของท้าวศรีสุดาจันทร์และการถูกเขียนประวัติศาสตร์
ในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช ท้าวศรีสุดาจันทร์ เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะพระสนมที่มีบทบาทสำคัญ เธอมีพระโอรสสองพระองค์ คือ “สมเด็จพระยอดฟ้า” และ “พระศรีศิลป์” ซึ่งทำให้เธอได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็น “แม่หยัวเมือง” หรือ “แม่อยู่หัว” เพื่อให้สามารถสำเร็จราชการแทนพระองค์เมื่อสมเด็จพระยอดฟ้าขึ้นครองราชย์
ในด้านการเมือง มีนักวิชาการหลายท่านที่อธิบายว่าท้าวศรีสุดาจันทร์สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ละโว้-อโยธยาและมีความปรารถนาที่จะฟื้นฟูอำนาจของราชวงศ์นี้ โดยเธอได้สมคบกับขุนวรวงศาธิราชซึ่งเป็นเจ้านายเชื้อสายเดียวกันในการปกครองและบั่นทอนอำนาจของราชวงศ์สุพรรณภูมิ ความพยายามนี้ส่งผลให้เกิดการสถาปนาขุนวรวงศาธิราชเป็นกษัตริย์แทน และการขับไล่สมเด็จพระยอดฟ้าซึ่งเป็นพระโอรสของสมเด็จพระไชยราชาธิราช แต่ในท้ายที่สุดฝ่ายตรงข้ามสามารถชิงอำนาจกลับคืนได้ ทำให้ท้าวศรีสุดาจันทร์ถูกลงโทษและถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ด้วยแง่ลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นักประวัติศาสตร์อย่าง สุจิตต์ วงษ์เทศ อธิบายถึงท้าวศรีสุดาจันทร์ว่าเป็นสตรีผู้พยายามฟื้นฟูอำนาจของราชวงศ์เดิม ทว่าด้วยการชิงอำนาจที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและผลประโยชน์ สถานะและความเป็นมาของท้าวศรีสุดาจันทร์จึงถูกแปลงเป็นเรื่องราวที่เสริมสร้างภาพลักษณ์ของเธอในแง่ลบ ตั้งแต่เรื่องคบชู้ ฆ่าสามี และการใช้อำนาจที่ผิดทำนองคลองธรรม
บทสรุป: สนมเอกในสมัยอยุธยาและการปฏิรูปอำนาจ
เรื่องราวของ ท้าวศรีสุดาจันทร์ และสนมเอกอีก 3 ตำแหน่ง สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทางการเมืองของสยามในอดีต การแทรกซึมอำนาจและการแย่งชิงอำนาจในราชสำนัก รวมถึงภาพลักษณ์ของสตรีในประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนขึ้นโดยผู้ชนะ ทำให้บุคคลในประวัติศาสตร์ได้รับการตีตราต่างกันไปตามสถานการณ์ นอกจากนั้นการสืบเชื้อสายและการเป็นตัวแทนของกลุ่มอำนาจต่างๆ ทำให้พวกเธอมีบทบาทในการสร้างสายสัมพันธ์ของอยุธยาในระดับภูมิภาค
บทเรียนจากอดีตนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำความเข้าใจและตีความบุคคลในประวัติศาสตร์ ที่มักถูกเสริมแต่งให้เป็นเครื่องมือของการเมืองและการต่อสู้ทางอำนาจ